เมนู

อรรถกถา ทสุตตรสูตร



ทสุตตรสูตรว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น

พรรณนาบทอันไม่เคยมี ในทสุตตรสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. คำว่า
อาวุโส ภิกฺขเว นั้นเป็นคำร้องเรียกพระสาวกทั้งหลาย. จริงอยู่
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะตรัสเรียกบริษัท ย่อมตรัสว่า ภิกฺขเว ดังนี้.
พวกพระสาวกคิดว่า เราจักตั้งพระศาสดาไว้ในที่อันสูง ดังนี้แล้วไม่ร้องเรียก
ด้วยการร้องเรียกพระศาสดา ย่อมร้องเรียกว่า อาวุโส ดังนี้ . สองบทว่า
เต ภิกฺขู ความว่า ภิกษุผู้นั่งแวดล้อมพระธรรมเสนาบดีเหล่านั้น ถามว่า
ก็ภิกษุเหล่านั้น คือเหล่าไหน. แก้ว่า ภิกษุผู้อยู่ไม่ประจำที่คือ ผู้ไปสู่ทิศ.
จริงอยู่ ในครั้งพุทธกาล พวกภิกษุย่อมประชุมกัน 2 วาระ คือ
ในกาลจวนเข้าพรรษาอันใกล้เข้าแล้ว 1 ในกาลปวารณา 1. ครั้นเมื่อดิถี
จวนเข้าพรรษาใกล้เข้ามา พวกภิกษุ 10 รูปบ้าง 20 รูปบ้าง 30 รูปบ้าง
40 รูปบ้าง 50 รูปบ้าง เป็นพวก ๆ ย่อมมาเพื่อต้องการกรรมฐาน. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงบันเทิงกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุไร ครั้นเมื่อดิถีจวนเข้าพรรษา ใกล้เข้าแล้ว พวกเธอจึงเที่ยว
กันอยู่. ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พวกข้าพระองค์มาเพื่อพระกรรมฐาน ขอพระองค์จงให้พระกรรมฐานเเก่ข้า
พระองค์ทั้งหลายเถิด ดังนี้. ด้วยสามารถแห่งความประพฤติของภิกษุ
เหล่านั้น พระศาสดาจึงให้อสุภกัมมัฏฐาน แก่ภิกษุผู้ราคะจริต ให้เมตตา-
กัมมัฏฐาน แก่ภิกษุผู้โทสจริต ให้อุทเทส ปริปุจฺฉา การฟังธรรมตามกาล

การสนทนาธรรมตามกาล แก่ภิกษุผู้โมหะจริต ตรัสบอกว่า กัมมัฏฐานนี้
เป็นที่สบายของพวกเธอ ดังนี้ ทรงให้อานาปานัสสติกัมมัฏฐาน แก่ภิกษุ
ผู้วิตกจริต ทรงประกาศ ความเป็นผู้ตรัสรู้ดี แห่งพระพุทธเจ้า ความเป็น
ธรรมดีแห่งพระธรรม และความเป็นผู้ปฏิบัติดีแห่งพระสงฆ์ ในปสาทนีย-
สูตร แก่ภิกษุผู้สัทธาจริต ทรงตรัสพระสูตรทั้งหลายอันลึกซึ้ง อันปฏิสังยุตต์
ด้วย อนิจจตา เป็นต้น แก่ภิกษุผู้ญาณจริต. พวกภิกษุเหล่านั้น เรียน
เอาพระกัมมัฏฐานแล้ว ถ้าที่ใด เป็นที่สบาย ก็อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ถ้าว่า
ไม่มีที่สบาย ถามถึงเสนาสนะ เป็นที่สบายแล้ว จึงไป. พวกภิกษุเหล่านั้น
อยู่ ในที่นั้น เรียนข้อปฏิบัติตลอด 3 เดือน พากเพียรพยายามอยู่ เป็น
พระโสดาบันบ้าง เป็นพระสกทาคามีบ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระ-
อรหันต์บ้าง ออกพรรษา ปวารณาแล้ว จากที่นั้นจึงไปยังสำนักพระศาสดา
บอกแจ้งคุณที่ตนได้เฉพาะว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ เรียน
เอาพระกัมมัฏฐาน ในสำนักของพระองค์ บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว ฯลฯ
ข้าพระองค์ บรรลุพระอรหัตต์อันเป็นผลอันเลิศแล้ว ดังนี้. พวกภิกษุ
เหล่านี้ มาในที่นั้น ในดิถีเป็นที่จวนเข้าพรรษา อันใกล้เข้ามาแล้ว. ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่งเหล่าภิกษุผู้มาแล้วไปอยู่อย่างนั้น สู่สำนักของ
พระอัครสาวกทั้งหลาย. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า. ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงอำลาพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถิด. พวกภิกษุกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ยังมิได้อำลาพระสารีบุตร และ
พระโมคคัลลานะเลย ดังนี้. ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงส่งภิกษุเหล่านั้น
ไปในเพราะการเห็นพระอัครสาวกเหล่านั้น ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย

พวกเธอจงเสพ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงคบพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต
อนุเคราะห์เพื่อนสพรหมจารี ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตร เปรียบเหมือนมารดา
ผู้ยังทารกให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกซึ่งเกิดแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตร ย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะย่อม
แนะนำในประโยชน์อันสูงสุดดังนี้. อนึ่ง แม้ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงกระทำปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านี้แล้ว ใคร่ครวญอาสยะของภิกษุเหล่า-
นั้น ได้ทรงเห็นว่า ภิกษุเหล่านี้ เป็นสาวกเวไนย ดังนี้. ธรรมดาว่า
พระสาวกเวไนย ย่อมตรัสรู้ด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าบ้าง ของ
พระสาวกทั้งหลายบ้าง. แต่ว่า พวกพระสาวก ไม่อาจเพื่อจะยังพุทธเวไนย
ให้ตรัสรู้ได้. ก็พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นเป็นสาวกเวไนย
ตรวจดูอยู่ว่า จักตรัสรู้ด้วยเทศนาของภิกษุรูปไหน ก็ทรงเห็นว่า ของพระ-
สารีบุตร ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งไปสู่สำนักของพระเถระ. พระเถระถามภิกษุ
เหล่านั้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านไปสำนักพระศาสดามาแล้วหรือ.
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ขอรับ พวกกระผมไปมาแล้ว ก็พระศาสดาทรงส่ง
พวกกระผมมายังสำนักของท่าน. ลำดับนั้น พระเถระคิดอยู่ว่า ภิกษุเหล่านี้
จักตรัสรู้ด้วยเทศนาของเรา เทศนาเช่นไรหนอแล จึงจะเหมาะแก่ภิกษุ
เหล่านั้น ดังนี้ จึงกระทำความตกลงใจว่า ภิกษุเหล่านี้ ผู้มีความสามัคคี
เป็นที่มายินดี ผู้แสดงสามัคคีรส พระเทศนา ( นี้แหละ ) เหมาะแก่เธอ
เหล่านั้น ดังนี้แล้ว ผู้ใคร่เพื่อจะแสดงพระเทศนาเช่นนั้น จึงกล่าวคำมีว่า
เราจักกล่าวทสุตตรสูตร ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ที่ชื่อว่า ทสุตตระ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า

อันท่านจำแนกตั้งมาติกาไว้อย่างละสิบ ๆ. ที่ชื่อว่า ทสุตตระ เพราะอรรถ
วิเคราะห์แม้ว่า ตั้งแต่มาติกาหนึ่ง ๆ ไป จนกระทั่งถึงหมวดสิบ. ที่ชื่อว่า
ทสุตตระ เพราะอรรถวิเคราะห์แม้ว่า อันท่านให้พิเศษ ปัญหาอย่างละสิบ.
ในบัพพะหนึ่ง ๆ. ซึ่งทสุตตรสูตรนั้น. บทว่า ปวกฺขามิ ได้แก่ จักกล่าว.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ พระสูตร. บทว่า นิพฺพานปฺปตฺติยา ความว่า เพื่อ
ประโยชน์แห่งการได้เฉพาะซึ่งพระนิพพาน. บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย
ความว่า เพื่อกระทำที่สุดรอบแห่งวัฏฏะทุกข์ทั้งสิ้น. บทว่า สพฺพคนฺถปฺป-
โมจนํ
ความว่า การเปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง มีอภิชฌากายคันถะ
เป็นต้น. พระเถระเมื่อจะกระทำพระเทศนาให้สูง ยังความรักในพระเทศนา
นั้นให้เกิดแก่เหล่าภิกษุ จึงกล่าวพรรณนา ด้วย 4 บทว่า เหล่าภิกษุจัก
สำคัญทสุตตรสูตรนั้น อันตนพึงเรียนพึงศึกษา พึงทรงจำ พึงบอก ด้วย
ประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพรรณนา พระสูตรนั้น ๆ
โดยนัยเป็นต้นว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค.
บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า พหูกาโร ความว่า มีอุปการะมาก. บทว่า
ภาเวตพฺโพ ความว่า ควรให้เจริญ. บทว่า ปริญเญยฺโย ความว่า ควร
กำหนดรู้ด้วยปริญญา 3. บทว่า ปหาตพฺโพ ความว่า ควรละ ด้วย
ปหานานุปัสสนา. บทว่า หานภาคิโย ความว่า มีปกติให้ไปสู่อบาย เป็น
ไปพร้อมเพื่อความเสื่อมรอบ. บทว่า วิเสสภาคิโย ความว่า ทุปฺปฏิวิชฺโฌ
ถึงซึ่งคุณวิเศษ เป็นไปพร้อมเพื่อความวิเศษ. บทว่า ทุปฺปฏิวิชฺโฌ
ความว่า กระทำให้ประจักษ์ได้ยาก. บทว่า อุปฺปาเทตพฺโพ ความว่า ควร
ให้สำเร็จ. บทว่า อภิญฺเญยฺโย ความว่า ควรรู้ยิ่งด้วยญาตปริญญา. บทว่า
สจฺฉิกาตพฺโพ ความว่า ด้วยกระทำให้ประจักษ์. ในมาติกาทั้งปวง บัณฑิต

พึงทราบเนื้อความ ด้วยประการฉะนี้. ท่านพระสารีบุตร ใคร่ครวญถึง
พระเทศนาอันเป็นที่สบายของภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงตั้งมาติกา โดยส่วน 10
โดยส่วน 10 จำแนกบทหนึ่ง ๆ ในส่วนหนึ่ง ๆ ปรารภเพื่อจะยังพระเทศนา
ให้พิสดาร โดยนัยเป็นต้นว่า ธรรมอย่างหนึ่ง มีอุปการะมากเป็นไฉน
คือความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย เหมือนอย่างช่างจักสานผู้ฉลาด
ตัดไม้ไผ่อันอยู่ตรงหน้าแล้ว กระทำให้เป็นมัดแล้ว เจียกออกโดยส่วน 10
กระทำท่อนหนึ่ง ๆ ให้เป็นชิ้น ๆ ผ่าออกฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า อปฺปมาโท กุสเลสุ ธมฺเมสุ
ความว่า พระเถระกล่าวความไม่ประโยคมาท อันเป็นอุปการะในประโยชน์
ทั้งปวง. จริงอยู่ธรรมดาว่า ความไม่ประมาทนี้ มีอุปการะมาก ในกุศลธรรม
ทั้งหลายทั้งปวง โดยอรรถว่า ไม่มีโทษ คือในการยังศีลให้บริบูรณ์ ใน
อินทรีย์สังวร ในความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ในชาคริยานุโยค
ในสัทธรรม 7 ในการให้ถือเอาซึ่งห้วงแห่งวิปัสสนา ในปฏิสัมภิทาทั้ง
หลาย มีอัตถะปฏิสัมภิทาเป็นต้น ในธัมมขันธ์ 5 มี ศีลขันธ์เป็นต้น
ในฐานะและอฐานะ ในมหาวิหารสมาบัติ ในอริยสัจจ์ ในโพธิปักขิยธรรม
มีสติปัฏฐานเป็นต้น ในวิชชา 8 ประการ มีวิปัสสนาญาณเป็นต้น.
เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงเปรียบด้วย
เครื่องเปรียบทั้งหลาย มีรอยเท้าช้างเป็นต้น ทรงชมเชยพระเถระนั้น
มีประการต่าง ๆ ในอัปปมาทวรรค ในสังยุตตนิกาย โดยนัยเป็นต้นว่า
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ไม่มีเท้าก็ตาม ฯลฯ มีประมาณเพียงใด พระตถาคต
อันบัณฑิตย่อมกล่าวว่า เป็นเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้น
นั่นแล กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีความ

ไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง ความไม่ประมาท อันบัณฑิตย่อมกล่าวว่าเป็น
ยอดแห่งธรรมเหล่านั้นดังนี้. พระเถระสงเคราะห์ ความไม่ประมาทนั้น
ทั้งหมดด้วยบทหนึ่งนั่นเทียวแล้วกล่าวว่า ความไม่ประมาทในกุศลธรรม
ทั้งหลาย ดังนี้. อนึ่ง ความที่ความไม่ประมาทนั้นมีอุปการะมาก อันบัณฑิต
พึงแสดง แม้ด้วยอัปปมาทวรรคในธรรมบทเถิด. พึงแสดงแม้ด้วยเรื่อง
ของพระเจ้าอโศก. จริงอยู่ พระเจ้าอโศก ทรงสดับคาถาของนิโครธ-
สามเณรว่าความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย ดังนี้เท่านั้น ทรงเลื่อมใส
สามเณรด้วยตรัสว่า หยุดก่อน พ่อ ท่านกล่าวพระพุทธวจนะ คือพระ-
ไตรปิฏกแก่โยมแล้ว ดังนี้ จึงรับสั่งให้สร้างวิหาร 84,000 หลังแล้ว
ความที่ความไม่ประมาทมีอุปการะมาก อันภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยเรี่ยวแรง พึง
แสดงด้วยปีกทั้ง 3 ดังกล่าวเถิดด้วยประการฉะนี้ บุคคลผู้นำมาซึ่งพระ
หรือคาถา อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงความไม่ประมาท อันใคร ๆ ไม่
กล่าวว่า ท่านดำรงในที่มิใช่ฐานะนำมาแล้ว ดังนี้. เรี่ยวแรงและกำลังของ
พระธรรมกถึกเท่านั้น เป็นประมาณในที่นี้. คำว่า กายคตาสติ นั่นเป็น
ชื่อของสติอันบังเกิดขึ้นในกรรมฐานเหล่านี้คือ ลมหายใจเข้าออก อิริยาบถ
4 สติสัมปชัญญะ การ 32 การกำหนดธาตุ 4 อสุภะ 10 สิวัฏฐิกสัญญา
9 การกระทำไว้ในใจ ในผมเป็นต้นว่า เป็นของละเอียด รูปฌาน 4.
บทว่า สาตสหคตา ความว่า เว้น จตุตถฌานเสีย กายคตาสติ ย่อม
สหรคตด้วยความยินดีในอารมณ์อื่น ประกอบด้วยความสุข. คำว่า สาต-
สหคตา
นั่นท่านกล่าวหมายเอา กายคตาสตินั่น. องบทว่า สาสโว
อุปาทานิโย
ความว่า เป็นปัจจัยแห่งอาสวะ และอุปาทานทั้งหลาย. พระ-
เถระกำหนดธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 ด้วยประการฉะนี้. บทว่า อสฺมิมาโน

ความว่า มานะว่า เรามีในรูปเป็นต้น. บทว่า อโยนิโสมนสิกาโร ความว่า
มนสิการนอกทางที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า เที่ยง ในสิ่งที่ไม่เที่ยง บัณฑิต
พึงทราบ โยนิโสมนสิการ โดยปริยาย ตรงกันข้าม. สองบทว่า อานนฺต-
ริโก เจโตสมาธิ
ความว่า ผลในลำดับแห่งมรรคในที่อื่น ชื่อว่า อานันต-
ริกะ เจโตสมาธิ
(เจโตสมาธิ อันไม่มีระหว่าง ) แต่ในที่นี้ มรรคใน
ลำดับแห่งวิปัสสนา ท่านประสงค์เอาว่า อานันตริกะ เจโตสมาธิ เพราะ
มีในลำดับแห่งวิปัสสนา หรือเพราะให้ผลในลำดับแห่งตน. สองบทว่า
อกุปฺปํ ญาณํ ความว่า ผลปัญญาในที่อื่น ชื่อว่า ญาณอันไม่กำเริบ ใน
ที่นี้ ท่านประสงค์เอาปัญญาที่เป็นเครื่องพิจารณา. บทว่า อาหารฏฺฐิติกา
ความว่า ดำรงอยู่เพราะปัจจัย. หลายบทว่า อยํ เอโก ธมฺโม ความว่า
สัตว์เหล่านั้น ดำรงอยู่เพราะปัจจัยใด ปัจจัยนี้ก็คือ ธรรมอย่างหนึ่ง. ควร
รู้ยิ่งด้วยญาตปริญญา คือ ด้วยอภิญญา. ความหลุดพ้นแห่งพระอรหัตผล
ชื่อว่า อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ. ในวาระนี้ ท่านกล่าวญาตปริญญา ด้วย
อภิญญา กล่าว ตีรณปริญญา ด้วยปริญญา. การกำหนดรู้ในการละ ด้วย
กิจที่ควรละและควรทำให้แจ้ง. ก็ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทนี้ว่า ทุปฺปฏิ-
วิชฺโฌ.
ท่านกล่าวผลไว้ในบทว่า สจฺฉิกาตพฺโพ นี้. บัณฑิตย่อมได้มรรค
ในบทหนึ่งเท่านั้น. แต่ย่อมได้ผลแม้ในหลายบททีเดียว.
บทว่า ภูตา ความว่า มีอยู่โดยสภาวะ. บทว่า ตจฺฉา ความว่า
แน่นอน. บทว่า ตถา ความว่ามีสภาวะเหมือนดังที่กล่าวแล้ว. บทว่า อวิตถา
ความว่าไม่มีสภาวะเหมือนดังที่กล่าวแล้วหามิได้. บทว่า อนญฺญถา ความว่า
ไม่เป็นโดยประการอื่นจากประการที่กล่าวแล้ว. หลายบทว่า สมฺมา ตถาค-

เตน อภิชสมฺพุทฺธา ความว่า ธรรมทั้งหลายอันพระตถาคต ประทับนั่งที่
โพธิบัลลังก์ ตรัสรู้แล้ว คือ ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ได้แก่กระทำให้แจ้ง
แล้ว ด้วยพระองค์เองทีเดียว โดยเหตุคือ โดยการณ์. ด้วยเหตุนี้ พระเถระ
เมื่อจะแสดงชินสูตร ยังความปลงใจเชื่อให้เกิดว่า ธรรมเหล่านี้ อันพระ-
ตถาคตตรัสรู้แล้ว ส่วนเราเป็นเหมือนกับผู้บอกแนวของพระราชาแห่งพวก
ท่านดังนี้ .
หลายบทว่า อิเม เทฺว ธมฺมา พหูถารา ความว่า ธรรมคือ
สติและสัมปชัญญะ 2 เหล่านี้ มีอุปการะ คือ นำประโยคโยชน์เกื้อกูลมาให้
ในที่ทั้งปวง เหมือนความไม่ประมาท มีอุปการะในกิจข้างหลายมีการบำเพ็ญ
ศีลเป็นต้น ฉะนั้น. หลายบทว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ ความว่า ธรรม
อันเป็นโลกิยะ และโลกุตตระ ทั้ง 2 เหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในสังคีติสูตร.
ส่วนเบื้องต้น ท่านกล่าวไว้ในทสุตตรสูตรนี้. หลายบทว่า สตฺตานํ
สงฺกิเลสาย สตฺตานํ วิสุทฺธิยา
ความว่า อโยนิโสมนสิการ เป็นเหตุ
และเป็นปัจจัยเพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย โยนิโสมนสิการเป็น
เหตุและเป็นปัจจัย เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย. เหมือนอย่างนั้น
ความเป็นผู้ว่ายาก ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความ
เศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย ความเป็นผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร
ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกัน. อกุศล
มูล 3 กุศลมูล 3 โยคะ 4 วิสังโยคะ 4 เจโตขีละ 5 อินทรีย์ 5
อคารวะ 6 คารวะ 6 อสัทธรรม 7 สัทธรรม 7 กุสีตวัตถุ 8 อารัพภ-
วัตถุ 8 อาฆาตวัตถุ 9 อาฆาตปฏิวินัย 9 อกุศลกรรมบถ 10 กุศลกรรมบถ

10 ตกเป็นธรรม อย่างละ 2 มีประเภทดังที่กล่าวมาน เหล่านี้ บัณฑิต
พึงทราบว่า แทงตลอดได้ยาก. สองบทว่า สงฺขตา ธาตุ ความว่า ขันธ์ห้า
อันปัจจัยทั้งหลาย กระทำแล้ว. สองบทว่า อสงฺขตา ธาตุ ความว่า พระ-
นิพพาน อันปัจจัยทั้งหลายมิได้กระทำ. พึงทราบวินิจฉัยในสองบทนี้ว่า
วิชฺชา จ วิมุตฺติ จ ดังต่อไปนี้ วิชชา 3 ชื่อว่า วิชชา อรหัตตผล ชื่อว่า
วิมุตติ. ในวาระนี้ คุณพิเศษทั้งหลายมีอภิญญาเป็นต้น ก็เป็นเหมือนกับ
คุณพิเศษอย่างหนึ่ง ๆ. ส่วนมรรคท่านกล่าวไว้ในบทที่ควรให้บังเกิดขึ้น.
ผล ท่านกล่าวไว้ในบทที่ควรกระทำให้แจ้ง.
อนาคามิมรรค ท่านประสงค์เอาว่า เนกขัมมะ. ในคำนี้ ว่า คุณชาต
คือเนกขั่มมะนั่นเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามทั้งหลายดังนี้ . จริงอยู่ อนาคามิ-
มรรคนั้น เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามทั้งหลายโดยประการทั้งปวง. อรหัต-
มรรค ย่อมมีแม้ในอรูป ในคำนี้ว่า คุณชาตคืออรูปนั้น เป็นเครื่องสลัด
ออกซึ่งรูปทั้งหลาย ดังนี้ . อรหัตมรรค ชื่อว่าเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งรูป
ทั้งหลายโดยประการทั้งปวง เพราะห้ามความบังเกิดขึ้นอีก. หลายบทว่า
นิโรโธ ตสฺส นิชสฺสรณํ ความว่า อรหัตตผล ท่านประสงค์เอาว่า เป็น
นิโรธ ในพระศาสนานี้. จริงอยู่ ครั้นเมื่อพระนิพพานอันพระอรหัตตผล
เห็นแล้ว สังขารทั้งปวงก็ย่อมไม่มีอีกต่อไป เพราะเหตุนั้น พระอรหัตต์ ท่าน
จึงกล่าวว่า เป็นนิโรธ เพราะเป็นปัจจัยแห่งสังขตะนิโรธ. บทว่า อตีตํ
สญาณํ
ความว่า ญาณอันมีอดีตเป็นอารมณ์. แม้ในญาณนอกนี้ ก็นัยนี้
เหมือนกัน. แม้ในวาระนี้ อภิญญาเป็นต้น ก็เป็นเหมือนกับคุณวิเสสอย่าง
หนึ่งๆ. ก็ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทที่แทงตลอดได้โดยยาก. กล่าวผลไว้ใน
บทที่ควรกระทำให้แจ้ง.

พึงทราบวินิจฉัยในสองนี้ว่า จตฺตาริ จกฺกานิ ดังนี้ต่อไป
ธรรมดาว่า จักรมี 5 อย่างคือ จักรคือไม้ 1 จักรคือแก้ว 1 จักรคือธรรม 1
จักรคืออิริยาบถ 1 จักรคือสมบัติ 1 บรรดาจักรเหล่านั้น จักรนี้คือ แนะ
นายช่างรถผู้สหาย ก็ล้อนี้สำเร็จแล้วโดย 6 เดือน หย่อน 6 ราตรี ชื่อว่า
จักรคือไม้ ฯ จักรนี้คือ บุคคลให้เป็นไปตามจักร อันบิดาให้เป็นไปทั่วแล้ว
ชื่อว่า จักรคือแก้ว. จักรนี้คือ จักรอันเราให้เป็นไปทั่วแล้ว ชื่อว่า จักร
คือธรรม. จักรนี้คือ อวัยวะ อันมีจักร 4 มีทวาร 9 ชื่อว่า จักรคือ
อิริยาบถ. จักรนี้คือ ภิกษุทั้งหลายจักร 4 ย่อมเป็นไปทั่งแก่เทวดาและ
มนุษย์ทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยจักร 4 เหล่าใด จักร 4 เหล่านี้ ชื่อว่า
จักรคือสมบัติ. จักรคือสมบัตินั้นนั่นแหละ ท่านประสงค์เอาแม้ในที่นี้. บทว่า
ปฏิรูปเทสวาโส ความว่า บริษัท 4 ย่อมปรากฏในที่ใด การอยู่ในประเทศ
อันสมควรเป็นปานนั้น ในที่นั้น. บทว่า สปฺปุริสูปนิสฺสโย ความว่า
การพึ่ง คือ การเสพ การคบ ได้แก่การเข้าไปนั่งใกล้ สัตบุรุษทั้งหลายมี
พระพุทธเจ้าเป็นต้น. บทว่า อติตสมฺมาปณิธิ ความว่า การตั้งตนไว้ชอบ.
ก็ถ้าว่า บุคคล เป็นผู้ประกอบแล้ว ด้วยโทษทั้งหลายมีความเป็นผู้ไม่มี
ศรัทธาเป็นต้น ในกาลก่อน การละซึ่งโทษมีความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็น
ต้นเหล่านั้นแล้ว ดำรงอยู่ในคุณมีศรัทธาเป็นต้น. สองบทว่า ปุพฺเพ จ
กตปุญฺญาตา
ความว่า ความเป็นผู้มีกุศลอันตนสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน.
คุณชาตคือความเป็นผู้มีกุศลอันตนสั่งสมไว้แล้ว ในกาลก่อนนี้นั่นแหละ
เป็นประมาณในที่นี้. จริงอยู่ กุศลกรรม ย่อมเป็นกรรมอันบุรุษ กระทำ
ด้วยญาณสัมปยุตตจิตใด ญาณสัมปยุตตจิตนั้น นั่นแหละ อันเป็นกุศล
ย่อมนำบุรุษนั้นไปในประเทศ อันสมควรคือ ให้คบสัตบุรุษทั้งหลาย. อนึ่ง

บุคคลนั้นนั่นแลชื่อว่าตั้งตนไว้โดยชอบแล้ว. โลกิยะที่หนึ่งเที่ยวท่านกล่าว
ไว้ในอาหาร 4. ส่วนที่เหลือท่านกล่าวไว้ในสังคีติสูตร ว่าเจือด้วยโลกิยะ
และโลกุตตระ. ท่านกล่าว โลกิยะทั้งหลายเทียวไว้ในส่วนเบื้องต้น ในที่นี้.
บัณฑิตพึงทราบธรรมทั้งหลายมีกามโยคะ และกามวิสังโยคะเป็นต้น ด้วย
สามารถแห่งอนาคามิมรรคเป็นต้น. สัญญาและมนสิการ อันสหรคตด้วย
กาม ย่อมกลุ้มรุมบุคคลผู้ได้ปฐมฌานในธรรมที่เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม
เป็นต้น สมาธิก็เป็นหานภาคิยะ ( เป็นไปในส่วนข้างเสื่อม ) สติ อันคล้อย
ตามสมาธินั้น ย่อมตั้งมั่น สมาธิ จึงเป็นฐิติภาคิยะ สัญญาและมนสิการ
อันสหรคตด้วยอวิตก ย่อมปรากฏ สมาธิ ก็เป็นวิเสสภาคิยะ สัญญาและ
มนสิการ อันสหรคตด้วยนิพพิทาย่อมปรากฏ สมาธิก็เป็นนิพเพธภาคิยะ
อันวิราคะเข้าปรุงแล้ว เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึง ยังสมบัติทั้งปวงให้พิสดาร
แล้วทราบเนื้อความโดยนัยนี้ . ส่วนในวิสุทธิมรรค ท่านกล่าววินิจฉัยกถา
เนื้อความนั้นไว้แล้ว. แม้ในวาระนี้. อภิญญาเป็นต้น ก็เป็นเหมือนกับคุณ
วิเสสอย่างหนึ่งๆ. ก็มรรคท่านกล่าวไว้ในที่นี้ในอภิญญาบท. กล่าวผล
ไว้ในบทที่ควรกระทำให้แจ้ง.
พึงทราบวินิจฉัยในปีติแผ่ไปเป็นต้นต่อไป. ปีติ เมื่อแผ่ไปย่อม
เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น ปัญญาในฌาน 2 ชื่อว่า ปีติแผ่ไป. สุข เมื่อ
แผ่ไปย่อมเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น ปัญญาในฌาน 3 ชื่อว่า สุขแผ่ไป.
ปัญญาเมื่อแผ่ไปสู่ใจของชนเหล่าอื่น บังเกิดขึ้น เพราะเหตุนั้น ปัญญา
ที่กำหนดรู้ใจ ชื่อว่าใจแผ่ไป. ปัญญา บังเกิดขึ้นในแสงสว่างแผ่ไป เพราะ
เหตุนั้น ปัญญา ในทิพยจักษุ ชื่อว่า แสงสว่างแผ่ไป. ญาณเป็นเครื่อง

พิจารณา ชื่อว่า นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา. สมจริง ดังคำที่ท่านกล่าวไว้
ดังนี้ว่า ปัญญาในฌาน 2 ชื่อว่า ปีติแผ่ไป ปัญญาในฌาน 3 ชื่อว่า
สุขแผ่ไป ปัญญา ในจิตของผู้อื่น (รู้ใจของผู้อื่น) ชื่อว่า ใจแผ่ไป
ทิพยจักษุ ชื่อว่า แสงสว่างแผ่ไป ญาณเป็นเครื่องพิจารณา ของท่านผู้
ออกจากสมาธินั้น ๆ ชื่อว่า นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา. บรรดาบทเหล่านั้น
ปีติแผ่ไป สุขแผ่ไป เปรียบเหมือนเท้าทั้ง 2. ใจแผ่ไป แสงสว่างแผ่ไป
เปรียบเหมือนมือทั้ง 2. ฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา เปรียบเหมือนกาย
ท่อนกลาง นิมิตเป็นเครื่องพิจารณา เปรียบเหมือนศีรษะ. ท่านพระสารี-
บุตรเถระ แสดงสัมมาสมาธิอันประกอบด้วยองค์ 5 กระทำให้เป็นเหมือน
บุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ ด้วยประการฉะนี้. สมาธิในอรหัตผล
ท่านประสงค์เอาในคำเป็นต้นว่า สมาธิ นี้เป็นสุขในปัจจุบัน ด้วยนั่นเทียว.
จริงอยู่ สมาธิในอรหัตผลนั้น ชื่อว่า สุขในปัจจุบัน. เพราะเป็นสุขใน
ขณะที่บรรลุแล้ว ๆ. สมาธิ ต้น ๆ เป็นวิบากแห่งสุขต่อไป เพราะเป็น
ปัจจัยแห่งสุขในสมาธิหลัง ๆ ที่ชื่อว่า อริยะ เพราะความเป็นผู้ห่างไกล
จากกิเลสทั้งหลาย. ที่ชื่อว่า นิรามิส เพราะความไม่มีแห่งอามิสคือ กาม
อามิส คือ วัฏฏะและอามิสคือโลก. ที่ชื่อว่า ไม่เสพคนชั่ว เพราะความ
เป็นผู้เสพมหาบุรุษทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น. ที่ชื่อว่า สัตบุรุษ
เพราะอวัยวะสงบ เพราะอารมณ์สงบ และเพราะความกระวนกระวาย คือ
กิเลสทั้งปวงสงบ. ที่ชื่อว่าประณีต เพราะอรรถว่าไม่เดือดร้อน. ที่ชื่อว่า
ได้ความสงบระงับ เพราะได้ความสงบระงับกิเลส หรือเพราะได้ซึ่งความเป็น
คือสงบระงับกิเลส. จริงอยู่ สองบทนี้คือ ปฏิปฺปสฺสทฺธํ ปฏิปฺปสฺสทฺธิ
โดยเนื้อความก็เป็นอันเดียวกัน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ได้ความสงบระงับ

เพราะความที่พระอรหันต์ผู้มีกิเลสสงบระงับได้แล้ว. ที่ชื่อว่า บรรลุความ
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ( การเข้าสมาธิที่มีจุดหมายเป็นหนึ่ง ) เพราะบรรลุ
โดยเอโกทิภาวะ หรือเพราะบรรลุซึ่งเอโกทิภาวะ. ชื่อว่า บรรลุเอโกทิภาวะ
เพราะอันพระโยคาวจร ข่มปัจจนีกธรรมห้ามกิเลส แล้วไม่บรรลุด้วยสัมป-
โยคจิต อันเป็นสสังขาร เหมือนสาสวะสมาธิ อันมีคุณน้อย ฉะนั้น และ
เพราะไม่ข่มสัมปโยคจิต อันเป็นสสังขาร ห้ามไว้. อนึ่ง พระโยคาวจร
เมื่อเข้าสมาธินั้น หรือ เมื่อออกจากสมาธินั้น ย่อมมีสติเข้าเทียว ย่อมมี
สติออกเทียว เพราะความเป็นผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติ. อีกอย่างหนึ่ง
พระโยคาวจร ชื่อว่า มีสติเข้า มีสติออก ด้วยสามารถแห่งกาลตามที่ตน
กำหนดไว้. เพราะเหตุนั้นในที่นี้ เมื่อพระโยคาวจรพิจารณาอย่างนี้ว่า สมาธิ
นี้มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากต่อไป ดังนี้ อปรปัจจยญาณ อันเป็น
ของเฉพาะตนนั่นเอง ย่อมเกิดขึ้น อปรปัจจยญาณนั้นเป็นองค์อย่างหนึ่ง.
แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน. สมาธินี้ ท่านเรียกว่า สัมมาสมาธิ
ประกอบด้วยญาณ 5 ด้วยปัจจเวกขณญาณ 5 เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
ในวาระนี้ ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทที่เป็นส่วนแห่งคุณวิเสส. กล่าวผลไว้
ในบทที่ควรกระทำให้แจ้ง. คำที่เหลือ เหมือนกับคำต้นนั่นแล. คำทั้งปวง
ในหมวด 6 มีเนื้อความชัดทั้งนั้น. ก็ท่านกล่าวมรรคไว้ในที่นี้ ในบทว่า
แทงตลอดได้ยาก. คำที่เหลื่อ เหมือนกับคำต้น.
หลายบทว่า สมฺมปฺปญฺญาย สุทิฏฺฐา โหนฺต ความว่า ย่อม
เป็นผู้เห็นดี ด้วยวิปัสสนาญาณ โดยเหตุทั้ง 2. บทว่า กามา คือ วัตถุกาม
และกิเลสกาม. กามแม้ทั้งสองเป็นสภาพอันพระโยคาวจรเห็นด้วยดี เหมือน
หลุมถ่านเพลิง เพราะอรรถว่า มีความเร่าร้อน. บทว่า วิเวกนินฺนํ ความว่า

น้อมไปพระนิพพาน. คำว่า โน้มไป เงื้อมไป นั่น เป็นไวพจน์ของการ
น้อมไป. บทว่า พฺยนฺตีภูตํ ความว่า ผู้มีที่สุดอันควรนำไปไปปราศแล้ว
อธิบายว่า ผู้มีตัณหาออกแล้ว. ด้วยธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ โดย
ประการทั้งปวง แต่ไหน อธิบายว่า ด้วยธรรมอันเป็นไปในภูมิ 3. ในที่นี้
ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทที่ควรเจริญ คำที่เหลือ เหมือนกับคำต้นนั่นแล.
สองบทว่า อาทิพฺรหฺมจริยกาย ปญฺญาย ความว่า แห่งสมถะ และ
วิปัสสนาปัญญา อย่างอ่อนในส่วนเบื้องต้น เพราะเป็นเบื้องต้นแห่งมรรค
พรหมจรรย์ สงเคราะห์ด้วยไตรสิกขา. อีกอย่างหนึ่ง แห่งปัญญาในสัมมา-
ทิฏฐิ อันเป็นเบื้องต้นแห่งมรรคมีองค์ 8. บทว่า ติพฺพํ คือ มีกำลัง.
บทว่า หิโรตฺตปฺปํ ได้แก่ หิริและโอตตัปปะ. บทว่า เปมํ ได้แก่ ความ
รักอาศัยเรือน. บทว่า คารโว ได้แก่ ความเป็นผู้มีจิตหนัก. จริงอยู่ เมื่อ
บุคคลเข้าไปอาศัย บุคคลผู้ควรแก่การเคารพ กิเลสทั้งหลาย่อมไม่บังเกิด
ขึ้น เขาผู้นั้น ย่อมได้โอวาทและคำพร่ำสอน เพราะเหตุนั้น การอาศัย
บุคคลผู้นั้นอยู่ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการได้ปัญญา. พึงทราบวินิจฉัยในอขณะ
ต่อไป. เพราะเหตุที่พวกเปรตถึงอาวาหะ ถึงวิวาหะ กับพวกอสูร ฉะนั้น
อสุรกาย บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านถือเอาด้วยปิตติวิสัยนั่นเอง ( วิสัยแห่ง
เปรต ). พึงทราบวินิจฉัยในคำนี้ว่า อปฺปิจฺฉสฺส ต่อไป ความปรารถนา
น้อย 4 อย่าง คือ ความปรารถนาน้อยในปัจจัย 1 ความปรารถนาน้อยใน
คุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุ 1 ความปรารถนาน้อยในปริยัติ 1 ความปรารถนา
น้อยในธุดงค์ 1. บรรดาความปรารถนาน้อยเหล่านั้น บุคคลผู้ปรารถนา
น้อยด้วยปัจจัย เมื่อเขาให้มากก็รับเอาแต่น้อย เมื่อเขาให้น้อยก็รับเอาน้อย

กว่า หรือว่า ไม่รับเอาเลย ย่อมเป็นผู้ไม่รับเอาโดยไม่เหลือไว้. บุคคลผู้
ปรารถนาน้อยในคุณธรรมเป็นเครื่องบรรลุ ย่อมไม่ให้ชนเหล่าอื่นรู้คุณ-
ธรรมเป็นเครื่องบรรลุของตน เหมือนพระมัชฌันติกเถระ ฉะนั้น. บุคคล
ผู้ปรารถนาน้อยโนปริยัติ แม้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ก็ไม่ปรารถนาที่จะให้
คนอื่นรู้ว่าตนเป็นพหูสูต เหมือนพระสาเกตติสสะเถระฉะนั้น. บุคคลผู้
ปรารถนาน้อยในธุดงค์ ย่อมไม่ให้ชนเหล่าอื่นรู้ถึงการบริหารธุดงค์ เหมือน
พระเชฏฐกะเถระ ในพระเถระผู้พี่น้องชายกัน 2 องค์ ฉะนั้น. ท่านกล่าว
เรื่องไว้ในวิสุทธิมรรคแล้ว. สองบทว่า อยํ ธมฺโม ความว่า โลกุตตร-
ธรรม 9 นี้ ย่อมสำเร็จแก่บุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย เพราะซ่อนเร้นคุณ
ที่มีอยู่อย่างนี้ และเพราะความเป็นผู้รู้จักประมาณในการรับ หาสำเร็จแก่
บุคคลผู้อยากใหญ่ไม่. บัณฑิตพึงประกอบคำในที่ทั้งปวงด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สนฺตุฏฺฐสฺส ความว่า ผู้สันโดษ ด้วยความสันโดษ 3 อย่างใน
ปัจจัย 4. ปวิวิตฺตสฺส ความว่า ผู้สงัดแล้วด้วยกายวิเวก จิตตวิเวก และ
อุปธิวิเวก. บรรดาวิเวกเหล่านั้น ความเป็นผู้บรรเทาการระคนด้วยหมู่
เป็นอยู่ผู้เดียว ด้วยสามารถแห่งอารัพภวัตถุ 8 ชื่อว่า กายวิเวก. ก็กรรมย่อม
ไม่สำเร็จด้วยเหตุสักว่าความเป็นอยู่ผู้เดียว เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจร
กระทำการบริกรรมกสิณแล้ว ยังสมาบัติ 8 ให้เกิด อันนี้ชื่อว่า จิตตวิเวก.
กรรม ย่อมไม่สำเร็จ ด้วยเหตุสักว่าสมาบัติเท่านั้น เพราะเหตุนั้น พระ
โยคาวจรกระทำฌานให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว บรรลุ
อรหัตต์พร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย อันนี้ชื่อว่า อุปฐิวิเวก. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า กายวิเวก ย่อมมีแก่บุคคลผู้มีกายอันตั้งอยู่
ในความสงัด ผู้ยินดียิ่งแล้วในเนกขัมมะ จิตตวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้มีจิต

บริสุทธิ์ ผู้ถึงความผ่องแผ้วอย่างยิ่ง และอุปธิวิเวกย่อมมีแก่บุคคลผู้หมด
อุปธิ ผู้ถึงความเป็นวิสังขาร ดังนี้.
บทว่า สงฺคณิการามสฺส ความว่า ผู้ยินดีอยู่ ด้วยการระคนด้วย
หมู่ และด้วยการระคนด้วยกิเลส. บทว่า อารทฺธวิริยสฺส ความว่า ผู้
ปรารภความเพียร ด้วยสามารถแห่งความเพียร ที่เป็นไปทางกาย และ
เป็นไปทางจิต. บทว่า อุปฏฺฐิตสฺสติสฺส ความว่า ผู้มีสติตั้งมั่นด้วย อำนาจ
แห่งสติปัฏฐาน 4. บทว่า สมาหิตสฺส ความว่า ผู้มีจิตมีอารมณ์เลิศเป็นหนึ่ง.
บทว่า ปญฺญวโต ความว่า ผู้มีปัญญา ด้วยกัมมัสสกตาปัญญา. บทว่า
นิปฺปปญฺจสฺส ความว่า ผู้มีความเนิ่นช้า คือ มานะ ตัณหาและทิฏฐิ
ไปปราศแล้ว. ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทที่ควรเจริญในที่นี้. คำที่เหลือ
เหมือนกับคำต้นนั่นแล.
บทว่า สีลวิสุทฺธิ ความว่า ปาริสุทธิศีล 4 สามารถที่จะให้สัตว์
ถึงความหมดจดได้. บทว่า ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ ความว่า องค์อันเป็น
ประธานแห่งภาวะความบริสุทธิ์. บทว่า จิตฺตวิสุทฺธิ ความว่า สมาบัติอัน
ช่ำชอง 8 อย่าง เป็นปทัฏฐานแห่ง วิปัสสนา. บทว่า ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ ความว่า
การเห็นนามรูปพร้อมทั้งปัจจัย. บทว่า กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ ได้แก่ความรู้
ในปัจจยาการ. จริงอยู่ เมื่อบุคคลเห็นว่า ธรรมทั้งหลาย ย่อมเป็นไป ด้วย
อำนาจแห่งปัจจัย แม้ในกาลทั้ง 3 นั่นเอง ดังนี้ ย่อมข้ามความสงสัยเสีย
ได้. บทว่า มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ ความรู้ว่า ทางมิใช่
ทางอย่างนี้ว่า อุปกิเลสมีแสงสว่างเป็นต้น มิใช่ทาง อุทยัพยญาณ อันดำ
เนินไปสู่วิถี เป็นหนทาง ( บรรลุ ) ดังนี้ .
บทว่า ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ความว่า วิปัสสนาอันเป็น

วุฏฐานคามินี ท่านกล่าวไว้ในรถวินีตวัตถุ วิปัสสนาอย่างอ่อนท่านกล่าวไว้
ในที่นี้. บทว่า ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ความว่า ท่านกล่าวมรรคไว้ในรถวินี-
ตวัตถุ กล่าววุฏฐานคามินีวิปัสสนาไว้ในที่นี้. ก็วิสุทธิแม้ทั้ง 7 เหล่านั้น
ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค โดยพิสดารแล้ว. บทว่า ปญฺญา ได้แก่ปัญญา
ของพระอรหัตผล. บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ ความหลุดพ้นของพระอรหัตผล
นั่นเอง. หลายบทว่า ธาตุนานตฺตํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ ผสฺสนานตฺตํ
ความว่าเพราะอาศัยความเป็นต่างกันแห่งธาตุมีจักขุธาตุ เป็นต้น ความเป็น
ต่างกันแห่งจักขุสัมผัสเป็นต้นจึงบังเกิดขึ้น ดังนี้. สองบทว่า ผสฺสนานตฺตํ
ปฏิจฺจ
ความว่า เพราะอาศัยความเป็นต่างกัน แห่งจักขุสัมผัสเป็นต้น.
บทว่า เวทนานานตฺตํ ความว่า ความเป็นต่างกันแห่งเวทนา มีจักขุ
สัมผัสสชาเวทนาเป็นต้น. สองบทว่า สญฺญานานตฺตํ ปฏิจฺจ ความว่า
เพราะอาศัยความเป็นต่างกันแห่งสัญญา มีกามสัญญาเป็นต้น. บทว่า
สงฺกปฺปนานตฺตํ ความว่า ความเป็นต่างกันแห่งความดำริมีความดำริในกาม
เป็นต้น หลายบทว่า สงฺกปฺปนานตฺตํ ปฏิจฺจ อุปฺปชฺชติ ฉนฺทนานตฺตํ
ความว่า ความเป็นต่างกันแห่งความพอใจ ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างนี้ว่าความ
พอใจในรูป ความพอใจในเสียง เพราะความเป็นต่างกันแห่งความดำริ.
บทว่า ปริฬาหนานตฺตํ ความว่า ความเป็นต่างกันแห่งความเร่าร้อน ย่อม
เกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ความเร่าร้อนในรูป ความเร่าร้อนในเสียง ย่อมมีเพราะ
ความเป็นต่างกันแห่งความพอใจ. บทว่า ปริเยสนานานตฺตํ ความว่า
ความเป็นต่างกันแห่งการแสวงหารูปเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นเพราะความเป็น
ต่างกันแห่งความเร่าร้อน. บทว่า ลาภนานตฺตํ ความว่า ความเป็นต่างกัน
แห่งการได้เฉพาะซึ่งรูปเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นเพราะความเป็นต่างกันแห่งการ
แสวงหา. พึงทราบวินิจฉัยในสัญญาทั้งหลายต่อไป. ที่ชื่อว่า มรณสญฺญา

ได้แก่ สัญญา ด้วยมรณานุปัสสนาญาณ. ที่ชื่อว่า อาหาเร ปฏิกูลสญฺญา
ได้แก่ สัญญา อันบังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้กำหนดอาหาร. ที่ชื่อว่า สพฺพโลเก
อนภิรตสญฺญา
ได้แก่สัญญาอันบังเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่พอใจในวัฏฏะ
ทั้งปวง. สัญญาที่เหลือ ท่านกล่าวไว้ในวิปัสสนา ในหนหลังนั้นแล
ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทที่มีอุปการะมาก ในที่นี้. คำที่เหลือ เหมือนกับ
คำต้นนั่นแล.
บทว่า นิชฺชิณฺณเวตฺถูนิ ได้แก่ เหตุที่หมดแรง. หลายบทว่า
มิจฺฉาทิฏฐิ นิชฺชิณฺณา โหติ ความว่า มิจฉาทิฏฐิ นี้หมดแรง คือ
อันบุคคลผู้เห็นชอบ ละได้แล้วด้วยวิปัสสนาในหนหลัง เพราะเหตุไร ท่าน
จึงจัดไว้อีก. แก้ว่า เพราะยังตัดไม่ได้. จริงอยู่ มิจฉาทิฏฐิ ย่อมหมดแรง
ด้วยวิปัสสนา แม้ก็จริง ถืออย่างนั้น อันพระโยคาวจรก็ยังตัดไม่ได้. ก็มรรค
บังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมตัดมิจฉาทิฏฐินั้น ไม่ให้ออกไปอีก เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงจัดไว้อีก. บัณฑิตพึงนำนัยในบททั้งปวง ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง
ในที่นี้ ธรรม 64 ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความหลุดพ้นโดยชอบ
เป็นปัจจัย. ธรรม 64 เป็นไฉน. ธรรม 64 เป็นอย่างละ 8 ๆ ในมรรค 4
ผล 4 ถึงความบริบูรณ์ อย่างนี้คือ ในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค สัทธินทรีย์
ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือ อธิโมกข์ วิริยินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ ด้วยอรรถคือ
การยกย่อง สตินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ ด้วยอรรถคือการระลึกถึง สมาธินทรีย์
ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือ ความไม่ฟุ้งซ่าน ปัญญินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์
ด้วยอรรถคือการเห็น มนินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ ด้วยอรรถคือ การรู้แจ้ง
โสมนัสสินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือ ความเพลิดเพลินยิ่ง ชีวิตินทรีย์

ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือความเป็นใหญ่แห่งการสืบต่อยังเป็นไป ฯลฯ ใน
ขณะแห่งอรหัตตผล สัทธินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ ด้วยอรรถคืออธิโมกข์ ฯลฯ
ชีวิตินทรีย์ ย่อมบริบูรณ์ด้วยอรรถคือความเป็นใหญ่แห่งการสืบอยู่เป็น
ไป. ในที่นี้ ท่านกล่าวมรรคไว้ในบทที่ควรรู้ยิ่ง. คำที่เหลือเหมือนกับคำต้น
นั่นแล. ภิกษุดำรงในพระศาสนานี้แล้ว พึงประชุมปัญหา ดังนี้ . ย่อม
เป็นอันท่านกล่าวปัญหา 550 ปัญหา คือ กล่าว 100 ปัญหา ในหมวด 10
กล่าว 100 ปัญหา ในหมวดหนึ่ง และหมวดเก้า กล่าว 100 ปัญหา
ในหมวดสอง และหมวดแปด กล่าว 100 ปัญหา ในหมวดสาม และ
หมวดเจ็ด กล่าว 100 ปัญหา ในหมวดสี่ และหมวดหก กล่าว 50 ปัญหา
ในหมวดห้า.
ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวคำนี้แล้ว พวกภิกษุเหล่านั้น แช่มชื่นใจ
เพลิดเพลินภาษิต ของท่านพระสารีบุตร เพลิดเพลินอยู่ด้วยกล่าวว่า ดีละ
ดีละ ดังนี้แล้ว รับไว้ด้วยเศียรเกล้า. ก็แล พวกภิกษุแม้ 500 รูปเหล่านั้น
นึกถึงอยู่ซึ่งพระสูตรนี้นั่นเอง ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตต์ พร้อมทั้งปฏิสัมภิทา
ทั้งหลายแล้ว ก็เพราะความที่ตนมีใจแช่มชื่นนั้น ดังนี้แล.
พรรณนาความในทสุตตรสูตรแห่งอรรถกถา
ทีฆนิกาย ชื่อว่า สุมังคลวิลาสินี จบแล้ว
ด้วยประการฉะนี้

หมวด 11 จบ
การพรรณนาปาฏิกวรรคก็จบแล้วดังนี้แล.

อนึ่ง ข้าพเจ้าผู้อันพระทาฐานาคสังฆเถระ ผู้อยู่ในบริเวณอันเป็น
มงคลดี ผู้มีคุณอันมั่นคง ผู้ชื่อว่าเถระวงศ์ อ้อนวอนแล้วด้วยคำมีประมาณ
เท่านี้ ปรารภอรรถกถาใด ชื่อว่า สุมังคลวิลาสินี โดยชื่อ แห่งคัมภีร์ยาว
อันประเสริฐ อันแสดงซึ่งหมู่แห่งคุณของพระทศพล ก็อรรถกถานั้น อัน
ข้าพเจ้าถือเอาสาระ ในมหาอรรถกถาให้จบลงแล้ว. อรรถกถานั้น จบลง
แล้วด้วยภาณวารทั้งหลาย แห่งบาลีประมาณ 81. แม้วิสุทธิมรรคอันมี
ประมาณ 59 อันข้าพเจ้ารจนา คัมภีร์ไว้ ก็เพื่อประโยชน์แก่การประกาศ
เนื้อความ โดยภาณวารทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น อรรถกถานี้ พร้อมทั้ง
วิสุทธิมรรคนั้น อันข้าพเจ้านับกำหนดดีแล้ว ด้วยการนับภาณวารจึงเป็น
140. ว่าโดยภาณวาร คำทั้งปวงประมาณ 140 หมวด ด้วยประการ
ฉะนี้.
ข้าพเจ้าผู้ถือเอสาระในมูลอรรถกถา อันประกาศลัทธิ แห่งพระ-
เถระผู้อยู่ในมหาวิหารกระทำกรรมนี้ เข้าไปก่อบุญใดไว้ ด้วยบุญนั้น ขอ
ชาวโลกทั้งมวลจงมีสุขเถิด ดังนี้แล.
อรรถกถาแห่งทีฆนิกาย ชื่อว่า สุมังคลวิลาสินีนี้ อันพระเถระผู้มี
นามไธย อันครูทั้งหลาย ขนานว่า พุทธโฆษะ ผู้ประดับด้วยศรัทธา ความ
รู้และความเพียรอันหมดจดยิ่ง ผู้อันคุณสมุทัย มีศีล อาจาระ ความซื่อตรง
และความเป็นคนอ่อนเป็นต้น ตั้งขึ้นแล้ว ผู้สามารถในการศึกษาเล่าเรียน
ลัทธิของตนและลัทธิอื่น ผู้ประกอบด้วยความฉลาดด้วยปัญญา ผู้มีอำนาจ
แห่งญาณอันอะไร ๆ ไม่ขจัดแล้วในพระศาสนาของพระศาสดาพร้อมด้วย

อรรถกถาอันต่างโดยการศึกษาพระไตรปิฎก ผู้เป็นนักไวยากรณ์ใหญ่
ผู้ประกอบด้วยความสุขอันกรณสมบัติให้เกิดแล้วและความงามแห่งถ้อยคำ
อันคล่องแคล่ว อ่อนหวานไพเราะ ผู้พูดคำที่ควร และพ้น ( จากโทษ )
ผู้เป็นนักพูดประเสริฐ ผู้เป็นมหากวี ผู้มีความรู้อันไพบูลย์ หมดจด อัน
เป็นเครื่องประดับวงศ์ แห่งพระเถระทั้งหลาย ผู้แสดงเถระวงศ์ ผู้มีปกติ
อยู่ในมหาวิหาร ผู้มีความรู้อันตั้งมั่นดีแล้ว ในอุตตริมนุสสธรรม อัน
ประดับแล้วด้วยคุณ มีอภิญญา 6 เป็นต้น เป็นประเภท อันมีปฏิสัมภิทา
อันตนแตกฉานแล้วเป็นบริวาร รจนาแล้ว
แม้พระนามว่า พุทฺโธ ของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ผู้มีจิตหมดจด ผู้คงที่ ผู้เจริญที่สุด
ในโลก ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ยังเป็นไป
อยู่ในโลกเพียงใด ขออรรถกถาชื่อว่าสุมังคล-
วิลาสินีนี้ อันแสดงอยู่ซึ่งนัย เพื่อความหมด
จดแห่งทิฏฐิ ของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้แสวงหา
เครื่องสลัดออกจากโลก จงดำรงอยู่ในโลภ
เพียงนั้นเทอญ.

อนึ่ง การพรรณนาเนื้อความแห่งอรรถกถา
ทีฆนิกายก็จบลงแล้ว.